วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
ความพยายามของคน
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา" ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นนักดนตรี ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว" ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6 ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์" ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า" ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์" หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า" หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีน มอนโร" นั่นเอง ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์" ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก" ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ เราเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เราเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
บันทึกของเสด็จใน กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์
"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่าแผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวมจงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็วก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกูตราบใดที่คำว่า "อาภากร"ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกูลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมามิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นแผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุขมิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นจากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39
อ่านเพื่อความสามัคคี อย่าให้ใครจูงจมูก อย่าหลงไปกระตุ้นยอดขายสินค้าให้ใคร
คำเตือนถึง สนธิ ลิ้มทองกุล 'คนอย่างนี้ไม่มีสิทธิพูด รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์'
ผมเห็นอาการของ สนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว อดสมเพชไม่ได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ใครได้ยิน คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล อาจจะหลอกให้ตัวเองเชื่อว่า เป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไปได้อีกนานเท่านาน ตราบเท่าที่ยังคิดจะหลอกตัวเอง แต่คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่อาจจะหลอกประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ รวมไปถึงคนไทยในต่างประเทศ และคนทั่วโลกได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกคนอื่นให้หลงเชื่อว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมะ เป็นความสัตย์ หากยังมีคนเชื่อ คนคนนั้นก็คงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง ผมจึงอยากจะส่งคำเตือนถึง สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น ในหัวข้อ “คำตอบของสนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ปรากฎในเวปไซต์ Manager on lie และ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ผ่านบทสัมภาษณ์ “สนธิ ขายความคิด โมเดลชาติ” นั้น ควรจะเก็บไว้คิดและทำแต่เพียงลำพัง ไม่ควรพูดออกมาดังๆ ให้ผมได้หัวเราะด้วยความสมเพช ผมต้องสมเพช สนธิ ลิ้มทองกุล เพราะวันนี้คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ยังคิดที่จะขายความคิด “ล้างสมอง” คนไทย และเชื่อว่ายังมีความสามารถมากพอที่จะจูงจมูกให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เดินตามหลังตนเองได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากจะไม่สำนึกผิดในการกระทำของตนเองแล้ว ยังไม่มีสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี อยู่ในตัวเองด้วย พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่พยายามจะล้างสมองคนไทย ด้วยความเท็จในครั้งใหม่นี้ อาจจะทำให้คนหลายคนกังวล แต่สำหรับผม ได้แต่สมเพช ที่หมาหางด้วนตัวหนึ่ง พยายามจะกลับเข้าฝูง หลังจากชักชวนให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามกับการตัดหางให้ด้วนเหมือนตัวเองไม่สำเร็จ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนไทยจำนวนมากมายที่หลงเชื่อและเดินตามตูด สนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว หากคนไทยทุกคนจะย้อนกลับไปหวนระลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ก็จะพบว่าเป็นเพราะคนไทยส่วนหนึ่งไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่น้อมนำพระราชดำรัสพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดังปากพูด นั่นเอง จึงทำให้ประเทศไทยต้องล่มจม ดำดิ่งสู่ก้นเหวดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไปหลงเชื่อเรื่อง “กู้ชาติ” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง แต่ไม่เชื่อฟังพระราชดำรัสในพระบาสทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงบอกว่า “ไม่ต้องกู้ชาติ” เพราะชาติไม่ได้ล่มจม หากวันนั้น คนไทยน้อมนำพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อม จริงดังปากพูด ประเทศไทย ก็คงไม่ต้องวิบัติฉิบหายไปตามสายทางหายนะของปีศาจที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ขีดให้เดิน จูงให้ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังต้องการที่จะเป็นผู้นำ มีอิทธิพลเหนือความคิดของบุคคลอื่น ต้องการครอบงำให้คนอื่นเชื่อสิ่งที่ตนพูด เห็นด้วยกับสิ่งที่ตนทำ สนับสนุนสิ่งที่ตนคิด โดยที่หารู้ไม่ว่าบุคคลอื่น รู้เช่นเห็นชาติ รู้หมดแล้วว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีไส้กี่ขด แต่ละขดมีกี่ข้อ แต่ละข้อมีกี่คด เห็นกันหมดแล้วอย่างนี้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ละอาย และไม่หวั่น เพราะคิดแต่ว่าคนไทยลืมง่าย ก่อนที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จะไปไกลตามใจฝันของตนเอง และ ก่อนที่คนไทยหลายคนจะยินยอมพร้อมใจกันนำปลายเชือกสนตะพายที่สนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยื่นมาให้รอบใหม่นี้ ข้างหนึ่งร้อยจมูกตัวเอง และส่งอีกข้างหนึ่งกลับคืนให้สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้จูงจมูกพวกท่าน ประดาบ ขอเวลาท่านสักนิด ได้โปรดอ่านคำพิพากษาของศาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีความโดยสังเขป ตามที่คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ คม-ชัด-ลึก ดังนี้ ... ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1065/2549 และ อ.1875/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวณิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1- 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 ม.48 คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.-24 มี.ค.2549 จำเลยกับพวกที่ไม่ได้นำตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันตั้งเวทีปราศรัยที่บริเวณสนามหลวง พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยที่ 2 นำข้อความลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออกเผยแพร่ โดยเมื่อวันที่ 6 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่า “ไม่มีนายกฯ คนไหนในโลกนี้ ที่เอาเงินไปซื้อประชาชนให้รักตัวเองมากขนาดนี้ เมื่อวันที่ 3มี.ค.2549 ใช้เงินไปกว่า 300 ล้านบาท ลากเอาคนนั้นคนนี้มา พวกกเฬวรากทั้งนั้น สื่อก็รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นเมื่อไหร่นายกฯคนนี้จะหยุดสร้างภาพเสียที ประเทศชาติบอบช้ำพอแล้ว” ต่อมาวันที่ 10 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอีกว่า “ได้รับข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพล ว่ามีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง ด้วยปืนติดกล้อง ผมจะบอกให้พ่อแม่พี่น้องฟังว่า ทำไมต้องเล่าให้ฟังก็เนื่องมาจากว่าให้รู้ว่า กูรู้ว่ามึงอยากยิงกู เขามองว่าถ้าผมตายไปแล้ว ขบวนการกู้ชาติบ้านเมืองจะหยุดยั้ง เข้าใจผิดแล้ว ผมมีพ่อแม่พี่น้อง มีพันธมิตรฯ ที่จะนำพาภารกิจต่อไป ถ้าผมตายแล้วไอ้หน้าเหลี่ยมตายด้วย ผมยินดีตายไอ้หน้าเหลี่ยมแน่จริงมาตายด้วยกันไหมล่ะ” นอกจากนี้ ในวันที่ 13 มี.ค.49 จำเลยที่ 1ได้ปรายศรัยว่า “เมื่อตอนตี 4 ของวันที่ 13 มี.ค. เวทีกู้ชาติที่ภูเก็ต ถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาได้รับความเสียหาย” ในวันที่ 16 มี.ค.นายสนธิ จัดปราศรัยที่แยกมิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีคนบ้าเป็นนายกรัฐมนตรี อับอายขายหน้าเขาไปทั่วโลก คนบ้าเราต้องไล่ไปโรงพยาบาลบ้า แต่ปัญหามันมีหมอที่โรงพยาบาลบ้า บอกว่าระดับความบ้าของนายกฯ คนนี้โรงพยาบาลบ้าก็เอาไม่อยู่ ก็เลยต้องไล่ให้ไปสิงคโปร์” ต่อมาในวันที่ 22 มี.ค.บริเวณแยกมิสกวัน จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอันเป็นความเท็จว่า “ชาติบ้านเมืองกำลังวิบัติ เพราะเรามีนายกฯ ที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ ก่อนที่จะมีเหตุทุบพระพรหม มีหมอเขมรไปปัดกวาดพระภูมิที่ทำเนียบแล้วขึ้นไปนั่งค่อมที่หลังคาพระภูมิ เอาคุณไสยไปใส่ หลังจากมีการทุบพระพรหมแล้ว นายกฯไปอยู่ที่เกิดเหตุครึ่งชั่วโมง ไปทำไมนอกจากไปเอาเคล็ด ไปฝังรูปฝังรอย เพราะต้องการจะเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้” ข้อความทั้งหมดที่จำเลยกล่าวมานั้น เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามด้วยการโฆษณา โดยมีเจตนาให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเป็นการหลอกลวง ใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเหตุ เกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ และ แขวงจิตรดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ การกระทำของจำเลย โจทก์ถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยลงคำพิพากษาใน นสพ.7 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า ต้องไล่ให้ไปประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า โจทก์หมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ให้หมอเขมรไปทำพิธีที่ทำเนียบรัฐบาล ทำพิธีฝังรูปฝังรอยที่ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณสี่แยกราชประสงค์ เห็นว่าที่จำเลยที่ 1 กล่าวว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเองนั้น เป็นการกล่าวอ้างด้วยความสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม และที่ปราศรัยว่า โจทก์เป็นคนบ้านั้น ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นความจริง โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยกล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ในประเด็นเรื่องการลอบสังหาร การส่งลูกน้องไปเผาเวทีพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่เลื่อมใสในไสยศาสตร์ มักใหญ่ใฝ่สูงหวังใช้ไสยศาสตร์ให้ตัวเองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จำเลยไม่ได้นำสืบพิสูจน์ความจริง ข้อต่อสู้เป็นเพียงการกล่าวอ้างอย่างเลือนลอย พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยจำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามลำดับ จำคุกกระทงละ 1 ปีรวมจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี และให้ปรับจำเลยที่2 จำนวน 40,000 บาท พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า“เราจะสู้เพื่อในหลวง” ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 ของศาลอาญาที่พิพากษาจำคุก เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาท นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรมช.คมนาคม และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าวหานายภูมิธรรม ร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนจำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นบรรณาธิการเท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษกำหนด 2 ปี และให้จำเลยที่ 2 ลงคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชน รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายสนธิ แสดงสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ ซึ่งต่อมา นายสนธิ ยื่นคำร้องขอประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 300,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล.. พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลสั่งจำคุก 3 ปี ฐานกระทำความผิดใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง แอบอ้างพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะท่านจะเดินตามต่อไปอีกหรือไม่ พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่า เป็นบุคคลที่มุ่งร้ายทำลาย ชาติ ศาสนา และพระมหาษัตริย์ ยังเป็นคนดีมากพอที่ท่านจะเชื่อฟัง และสนับสนุนความคิดของคนคนนี้อีกหรือไม่ พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่ใช้วิธีการกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ ให้ได้รับความเสียหาย โดยไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความจริง ยังเป็นคนที่น่าเคารพเชื่อถือ และเป็นผู้นำของประชาชนได้อีกหรือไม่ สำหรับผมแล้ว ก็อย่างที่เขียนหัวเรื่องไว้นั่นล่ะ “คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” เพราะเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ผมเห็นอาการของ สนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว อดสมเพชไม่ได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ใครได้ยิน คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล อาจจะหลอกให้ตัวเองเชื่อว่า เป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไปได้อีกนานเท่านาน ตราบเท่าที่ยังคิดจะหลอกตัวเอง แต่คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่อาจจะหลอกประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ รวมไปถึงคนไทยในต่างประเทศ และคนทั่วโลกได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกคนอื่นให้หลงเชื่อว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมะ เป็นความสัตย์ หากยังมีคนเชื่อ คนคนนั้นก็คงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง ผมจึงอยากจะส่งคำเตือนถึง สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น ในหัวข้อ “คำตอบของสนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ปรากฎในเวปไซต์ Manager on lie และ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ผ่านบทสัมภาษณ์ “สนธิ ขายความคิด โมเดลชาติ” นั้น ควรจะเก็บไว้คิดและทำแต่เพียงลำพัง ไม่ควรพูดออกมาดังๆ ให้ผมได้หัวเราะด้วยความสมเพช ผมต้องสมเพช สนธิ ลิ้มทองกุล เพราะวันนี้คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ยังคิดที่จะขายความคิด “ล้างสมอง” คนไทย และเชื่อว่ายังมีความสามารถมากพอที่จะจูงจมูกให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เดินตามหลังตนเองได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากจะไม่สำนึกผิดในการกระทำของตนเองแล้ว ยังไม่มีสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี อยู่ในตัวเองด้วย พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่พยายามจะล้างสมองคนไทย ด้วยความเท็จในครั้งใหม่นี้ อาจจะทำให้คนหลายคนกังวล แต่สำหรับผม ได้แต่สมเพช ที่หมาหางด้วนตัวหนึ่ง พยายามจะกลับเข้าฝูง หลังจากชักชวนให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามกับการตัดหางให้ด้วนเหมือนตัวเองไม่สำเร็จ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนไทยจำนวนมากมายที่หลงเชื่อและเดินตามตูด สนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว หากคนไทยทุกคนจะย้อนกลับไปหวนระลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ก็จะพบว่าเป็นเพราะคนไทยส่วนหนึ่งไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่น้อมนำพระราชดำรัสพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดังปากพูด นั่นเอง จึงทำให้ประเทศไทยต้องล่มจม ดำดิ่งสู่ก้นเหวดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไปหลงเชื่อเรื่อง “กู้ชาติ” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง แต่ไม่เชื่อฟังพระราชดำรัสในพระบาสทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงบอกว่า “ไม่ต้องกู้ชาติ” เพราะชาติไม่ได้ล่มจม หากวันนั้น คนไทยน้อมนำพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อม จริงดังปากพูด ประเทศไทย ก็คงไม่ต้องวิบัติฉิบหายไปตามสายทางหายนะของปีศาจที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ขีดให้เดิน จูงให้ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังต้องการที่จะเป็นผู้นำ มีอิทธิพลเหนือความคิดของบุคคลอื่น ต้องการครอบงำให้คนอื่นเชื่อสิ่งที่ตนพูด เห็นด้วยกับสิ่งที่ตนทำ สนับสนุนสิ่งที่ตนคิด โดยที่หารู้ไม่ว่าบุคคลอื่น รู้เช่นเห็นชาติ รู้หมดแล้วว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีไส้กี่ขด แต่ละขดมีกี่ข้อ แต่ละข้อมีกี่คด เห็นกันหมดแล้วอย่างนี้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ละอาย และไม่หวั่น เพราะคิดแต่ว่าคนไทยลืมง่าย ก่อนที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จะไปไกลตามใจฝันของตนเอง และ ก่อนที่คนไทยหลายคนจะยินยอมพร้อมใจกันนำปลายเชือกสนตะพายที่สนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยื่นมาให้รอบใหม่นี้ ข้างหนึ่งร้อยจมูกตัวเอง และส่งอีกข้างหนึ่งกลับคืนให้สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้จูงจมูกพวกท่าน ประดาบ ขอเวลาท่านสักนิด ได้โปรดอ่านคำพิพากษาของศาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีความโดยสังเขป ตามที่คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ คม-ชัด-ลึก ดังนี้ ... ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1065/2549 และ อ.1875/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวณิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1- 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 ม.48 คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.-24 มี.ค.2549 จำเลยกับพวกที่ไม่ได้นำตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันตั้งเวทีปราศรัยที่บริเวณสนามหลวง พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยที่ 2 นำข้อความลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออกเผยแพร่ โดยเมื่อวันที่ 6 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่า “ไม่มีนายกฯ คนไหนในโลกนี้ ที่เอาเงินไปซื้อประชาชนให้รักตัวเองมากขนาดนี้ เมื่อวันที่ 3มี.ค.2549 ใช้เงินไปกว่า 300 ล้านบาท ลากเอาคนนั้นคนนี้มา พวกกเฬวรากทั้งนั้น สื่อก็รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นเมื่อไหร่นายกฯคนนี้จะหยุดสร้างภาพเสียที ประเทศชาติบอบช้ำพอแล้ว” ต่อมาวันที่ 10 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอีกว่า “ได้รับข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพล ว่ามีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง ด้วยปืนติดกล้อง ผมจะบอกให้พ่อแม่พี่น้องฟังว่า ทำไมต้องเล่าให้ฟังก็เนื่องมาจากว่าให้รู้ว่า กูรู้ว่ามึงอยากยิงกู เขามองว่าถ้าผมตายไปแล้ว ขบวนการกู้ชาติบ้านเมืองจะหยุดยั้ง เข้าใจผิดแล้ว ผมมีพ่อแม่พี่น้อง มีพันธมิตรฯ ที่จะนำพาภารกิจต่อไป ถ้าผมตายแล้วไอ้หน้าเหลี่ยมตายด้วย ผมยินดีตายไอ้หน้าเหลี่ยมแน่จริงมาตายด้วยกันไหมล่ะ” นอกจากนี้ ในวันที่ 13 มี.ค.49 จำเลยที่ 1ได้ปรายศรัยว่า “เมื่อตอนตี 4 ของวันที่ 13 มี.ค. เวทีกู้ชาติที่ภูเก็ต ถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาได้รับความเสียหาย” ในวันที่ 16 มี.ค.นายสนธิ จัดปราศรัยที่แยกมิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีคนบ้าเป็นนายกรัฐมนตรี อับอายขายหน้าเขาไปทั่วโลก คนบ้าเราต้องไล่ไปโรงพยาบาลบ้า แต่ปัญหามันมีหมอที่โรงพยาบาลบ้า บอกว่าระดับความบ้าของนายกฯ คนนี้โรงพยาบาลบ้าก็เอาไม่อยู่ ก็เลยต้องไล่ให้ไปสิงคโปร์” ต่อมาในวันที่ 22 มี.ค.บริเวณแยกมิสกวัน จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอันเป็นความเท็จว่า “ชาติบ้านเมืองกำลังวิบัติ เพราะเรามีนายกฯ ที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ ก่อนที่จะมีเหตุทุบพระพรหม มีหมอเขมรไปปัดกวาดพระภูมิที่ทำเนียบแล้วขึ้นไปนั่งค่อมที่หลังคาพระภูมิ เอาคุณไสยไปใส่ หลังจากมีการทุบพระพรหมแล้ว นายกฯไปอยู่ที่เกิดเหตุครึ่งชั่วโมง ไปทำไมนอกจากไปเอาเคล็ด ไปฝังรูปฝังรอย เพราะต้องการจะเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้” ข้อความทั้งหมดที่จำเลยกล่าวมานั้น เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามด้วยการโฆษณา โดยมีเจตนาให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเป็นการหลอกลวง ใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเหตุ เกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ และ แขวงจิตรดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ การกระทำของจำเลย โจทก์ถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยลงคำพิพากษาใน นสพ.7 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า ต้องไล่ให้ไปประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า โจทก์หมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ให้หมอเขมรไปทำพิธีที่ทำเนียบรัฐบาล ทำพิธีฝังรูปฝังรอยที่ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณสี่แยกราชประสงค์ เห็นว่าที่จำเลยที่ 1 กล่าวว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเองนั้น เป็นการกล่าวอ้างด้วยความสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม และที่ปราศรัยว่า โจทก์เป็นคนบ้านั้น ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นความจริง โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยกล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ในประเด็นเรื่องการลอบสังหาร การส่งลูกน้องไปเผาเวทีพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่เลื่อมใสในไสยศาสตร์ มักใหญ่ใฝ่สูงหวังใช้ไสยศาสตร์ให้ตัวเองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จำเลยไม่ได้นำสืบพิสูจน์ความจริง ข้อต่อสู้เป็นเพียงการกล่าวอ้างอย่างเลือนลอย พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยจำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามลำดับ จำคุกกระทงละ 1 ปีรวมจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี และให้ปรับจำเลยที่2 จำนวน 40,000 บาท พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า“เราจะสู้เพื่อในหลวง” ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 ของศาลอาญาที่พิพากษาจำคุก เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาท นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรมช.คมนาคม และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าวหานายภูมิธรรม ร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนจำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นบรรณาธิการเท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษกำหนด 2 ปี และให้จำเลยที่ 2 ลงคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชน รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายสนธิ แสดงสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ ซึ่งต่อมา นายสนธิ ยื่นคำร้องขอประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 300,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล.. พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลสั่งจำคุก 3 ปี ฐานกระทำความผิดใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง แอบอ้างพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะท่านจะเดินตามต่อไปอีกหรือไม่ พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่า เป็นบุคคลที่มุ่งร้ายทำลาย ชาติ ศาสนา และพระมหาษัตริย์ ยังเป็นคนดีมากพอที่ท่านจะเชื่อฟัง และสนับสนุนความคิดของคนคนนี้อีกหรือไม่ พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่ใช้วิธีการกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ ให้ได้รับความเสียหาย โดยไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความจริง ยังเป็นคนที่น่าเคารพเชื่อถือ และเป็นผู้นำของประชาชนได้อีกหรือไม่ สำหรับผมแล้ว ก็อย่างที่เขียนหัวเรื่องไว้นั่นล่ะ “คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” เพราะเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ซีแอล : การประกาศเอกราชทางยา
นายไชยา สะสมทรัพย์ แถลงว่า “ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา มีหนังสือจากกระทรวงพาณิชย์ว่าบริษัทผู้ผลิตมีหนังสือมาถึงว่า จะประกาศึ้นบัญชีให้ไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองโดยระบุว่าไทยไม่เคยเรียกไปคุยหรือจะปรับลดราคา...” ความจริงก็คือ ราคานี้เกิดจากการเจรจาต่อรองถึง 12 ครั้ง โดย นพ. ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการของ สนง.คณะกรรมการอาหารและยา และทีมงาน ถ้าไม่เช่อก็ลองสอบถามกันดูได้ ตารางนี้ (ตารางที่ 1) ยังชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมานั้นบริษัทยาต่างชาติฟันกำไรจากเลือดเนื้อและชีวิตของคนป่วยนับพันเปอร์เซ็นต์ ย่างไร้มนุษยธรรม เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานนับ 10 ปี(โปรดอ่านหนังสือ กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ-ภาค1 และหนังสือ อุบายขายโรค-ภาค2) นายไชยา สะสมทรัพย์ บอกว่า “ ได้รับรายงานว่า ผู้ป่วยมะเร็งมีไม่มากนัก แล้วทำไมต้องทำซีแอล” กรุณาตรวจสอบดูกับ นพ. วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าหน่วยมะร็งวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์ จะทราบว่าปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 100,000 ราย สาเหตุสำคัญคือการเข้าไม่ถึงยา เพราะยาแพงเกินเหตุ อย่าแปลกใจถ้าเห็นข่าว ยอดรักสลักใจ นักร้องลูกทุ่งวัย 52 ปี จำต้องประกาศขายบ้านราคา 15 ล้านบาท เพื่อนำเงินมารักษามะเร็งที่ทุกข์ทรมานกาย และหมดตัวด้วยยาราคามหาโหด รมว.สาธารณสุข ควรทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ป่วยที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงยา นายไชยา สะสมทรัพย์ กำลังพิทักษ์ผลประโยชน์ใคร ที่บอกว่า “ เพราะคำว่าสิทธิบัตรยาเป็นเรื่องล่อแหลม หากเรายังดันทุรัง บริษัทที่คิดค้นขึ้นมาก็ต้องหมดเงินหลายหมื่นล้านบาท” โปรดรับรู้ด้วยว่า การประกาศซีแอล ยาทั้ง 7 ตัว เป็นการดำเนินตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร มาตรา 51 ทุกขั้นตอน โดยเคารพต่อปฏิญญาโดฮา หรือข้อตกลงทริปส์ ซึ่งสอดรับกันหมดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม คำพูดที่ว่า “ การทำซีแอลของไทยไม่ถูกต้อง ตามกระบวนการหรือกฏหมายท้งไทยและสากล” จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และควรรู้ด้วยว่า สหรัฐอเมริกา และ แคนาดา เองนั้นก็ประกาศซีแอลก่อนหน้าประเทศไทยด้วยซ้ำไป นายไชยา ควรปรับทรรศนะใหม่ ควรเข้าใจว่าสิทธิของมนุษย์ที่ควรจะมีชีวิตอยู่ ย่อมเหนือกว่าผลประโยชน์ทางการค้า และควรเข้าใจด้วยว่า อำนาจนั้นมิได้มีเพื่อใช้ข่มผู้คน แต่อำนาจมีเพื่อเอื้ออำนวยให้แก่การทำงานที่ยังประโยชน์ต่อผู้คนที่เสียเปรียบในสังคมตารางที่ 1 โดยย่อ สามารถหาอ่านได้ในหนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ 15 ก.พ. 2551ชื่อสามัญของยา รักษาโรคมะเร็ง ราคาก่อนต่อรอง หลังต่อรอง ราคายาอินเดีย 1.Docetaxel ปอด เต้านม 25000 บาท 3750 บาท 1875 บาท ต่อมลูกหมาก2.Letroxole เต้านม(กินทุกวัน) 230 บาท 150 บาท 15 บาท3.Elotinib ปอด 2750 บาท 730 บาท -4.Imatinib ไขกระดูก 857 บาท - ลำไส้ 3427 บาท - ทุกๆคนครับ ดูราคาแล้วก็จะรู้ว่า มันฟันกำไรไปกี่พันเปอร์เซ็นต์ แล้วแม่ค้าที่ขายผักหญ้าตามตลาดสด กำไรผัก 1 ขีด เท่ากับ 1 บาท จะซื้อยาพวกนี้กินได้ไหมครับ เราทุกคนก็รู้ว่าแค่ยาทั่วๆไปราคาต้นทุนเม็ดละ 10 สตางค์ แต่มาขายเราเม็ดละ 10 บาท มันก็โหดเกินพอแล้ว นี่ยาพิเศษ ไม่กินก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่กินก็ตาย แล้วมาขายกันแบบนี้ เราไม่แย่เหรอครับ ที่น่าคับแค้นใจไปมากกว่านั้นก็คือ นักการเมืองไทยที่เราเลือกๆมันขึ้นไปเป็นปากเป็นเสียงให้เรามันยังทำกันได้ลงคอแบบนี้ เพื่อผลประโยชฯของใครก็ดูเอาเอง จากบทความนะครับ เราจะนับถือคนพวกนี้กันต่อไปหรือ ตาสว่างกันสักทีเถอะครับ
ไวรัส บนโปรแกรม MSN
ตอนนี้ได้ไวรัสตัวหนึ่งแพร่ออกมา ผมยังไม่รู้ชื่อมันเลย คือเอาง่านๆ ตอนเพื่อนคุณคนหนึ่ง ออนM มาเจอคุณ เขาจะพิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษมาหาคุณพร้อมส่งไฟล์อะไรก็ไม่รู้มาให้เรารับด้วย คุณอย่ารับไฟล์นั้น และให้คุณลองถามเพื่อนคุณดูว่า เพื่อนคุณได้ส่งอะไรมาไหม เขาจะตอบว่าไม่ ไวรัส(ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตัวนี้มันจะ ส่งของไปให้คนอื่นโดยที่เจ้าของMไม่รู้ พอคนอื่นรับ ก็จะติดเชื้อนี้และส่งต่อไปเลื่อยๆ ในระหว่างนี้เองจะเกิดสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับMSN ของเราขึ้นมา(อันนี้เป็นบางคน) ผลก็เกิดจากตัวนี่นั่นเอง ถ้าคุณเคยรับมาแล้ว และติดเชื้อมัน มีทางแก้ คือ ลบผู้ติดต่อที่ส่งของนั่นมา(ถ้ายังจำได้) ลบโปรแกรมMSN นี้แล้วลงใหม่ หรือถ้าไม่หาย ให้ล้างเครื่องเลย แน่นอนสุด ยังไงก็ระวังด้วยนะ
โลกไร้กรอบ ของ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ
เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมเขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่นตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ 1.อยากดูแลพ่อแม่ 2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา 3.อยากเที่ยว และ 4.ชอบกินอาหารอร่อย เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง บทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ"กรุงเทพธุรกิจ " เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น "ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา" เขาบอก เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง "คลื่น" ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากันระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้ แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก "จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย" โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก "ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้" เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง "ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้" โหย...เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย" ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ"ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี "คำถาม"จึงมี "คำตอบ" เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง “โสเครติส” เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้ จาก "คำถาม" กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้ "โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเอง เขาจะเริ่มต้น แสวงหา “ความรู้. แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้ " การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน เป็นกลยุทธ์เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำ แล้วจึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือ ของเขาเอง "น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง "คำตอบ" จาก "คำถาม" ของ "โสเครติส" "โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ "คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ "คนฉลาด" คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้ พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย……..
ระวัง อุบัติเหตุในปั๊มน้ำมัน
จาก FWD mail ด้านล่าง ผมเคยเจอเหตุการณ์นี้เหมือนกันครับ เป็นปั๊ม Shell แยก > > มาบข่า เส้น 36 > > ตอนนั้นเติมน้ำมันโดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์ เมื่อน้ำมันล้น > > เครื่องยนต์จะกระตุก > > สังเกตเห็นน้ำมันล้นออก > > จากถัง รีบดับเครื่อง และออกจากรถ แจ้งให้เด็กปั๊ม หยุดปั๊มทันที ทราบจากเด็ก > > ปั๊มว่าหัวจ่ายไม่ตัดเป็น > > ปัญหาอีกแล้ว เพิ่งเคยเกิดเมื่อวานไม่หายซะที > > นี่แสดงว่าเราไม่ได้เจอเหตุการณ์ > > นี้เป็นคนแรก ปัญหา > > ยังไม่ได้แก้ไขแต่ยังอนุญาตให้ใช้งานได้ โดยที่ลูกค้าไม่ทราบ > > สังเกตจากสภาพภาย > > ในปั๊มไม่ได้เลยครับ > > สิ่งที่ต้องป้องกันตัวและระวังตัวเองทุกครั้งที่เติมน้ำมันคือ > > ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งก่อนเติมน้ำมัน > > ไม่นั่งอยู่ในรถขณะเติมน้ำมัน > > สังเกตว่ามีแหล่งประกายไฟ หรือ คนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ ๆ หรือไม่
อันตรายจากการเติมน้ำมันแล้วหัวจ่ายไม่ตัด เหตุเกิดวันที่ 27 > > กค. > > 2550 ที่ปั้ม > > ปตท.อ.แกลง จ.ระยอง เลยแยกบ้านบึงไปทางจันทบุรีปั้มปตท.ปั้มแรกซ้ายมือ > > เป็นรถ > > ของเพื่อนที่ทำ > > งาน บ.Grohe Siam เหตุเกิดเพราะหัวจ่ายไม่ตัด > > น้ำมันเต็มถังแล้วหัวจ่ายยังทำงาน > > ต่อทำให้น้ำมันล้น > > ออกนอกถังแล้วมีคนสูบบุหรี่บริเวณใกล้ๆแล้วเกิดระเบิดขึ้นทำให้เจ้าของรถได้รับ > > บาดเจ็บสาหัส
อันตรายจากการเติมน้ำมันแล้วหัวจ่ายไม่ตัด เหตุเกิดวันที่ 27 > > กค. > > 2550 ที่ปั้ม > > ปตท.อ.แกลง จ.ระยอง เลยแยกบ้านบึงไปทางจันทบุรีปั้มปตท.ปั้มแรกซ้ายมือ > > เป็นรถ > > ของเพื่อนที่ทำ > > งาน บ.Grohe Siam เหตุเกิดเพราะหัวจ่ายไม่ตัด > > น้ำมันเต็มถังแล้วหัวจ่ายยังทำงาน > > ต่อทำให้น้ำมันล้น > > ออกนอกถังแล้วมีคนสูบบุหรี่บริเวณใกล้ๆแล้วเกิดระเบิดขึ้นทำให้เจ้าของรถได้รับ > > บาดเจ็บสาหัส
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)