วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ความพยายามของคน

ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา" ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์ ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นนักดนตรี ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว" ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6 ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์" ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลย แกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า" ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์" หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า "เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯ หรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า" หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์ หรือที่รู้จักกันในนาม "มาริลีน มอนโร" นั่นเอง ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์" ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก" ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ เราเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เราเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

บันทึกของเสด็จใน กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์

"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่าแผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวมจงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็วก่อนที่ที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกูตราบใดที่คำว่า "อาภากร"ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกูลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมามิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นแผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุขมิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้นจากหนังสืออนุสรณ์พระนคร '39

อ่านเพื่อความสามัคคี อย่าให้ใครจูงจมูก อย่าหลงไปกระตุ้นยอดขายสินค้าให้ใคร

คำเตือนถึง สนธิ ลิ้มทองกุล 'คนอย่างนี้ไม่มีสิทธิพูด รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์'

ผมเห็นอาการของ สนธิ ลิ้มทองกุล แล้ว อดสมเพชไม่ได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ใครได้ยิน คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล อาจจะหลอกให้ตัวเองเชื่อว่า เป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไปได้อีกนานเท่านาน ตราบเท่าที่ยังคิดจะหลอกตัวเอง แต่คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่อาจจะหลอกประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ รวมไปถึงคนไทยในต่างประเทศ และคนทั่วโลกได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกคนอื่นให้หลงเชื่อว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นเรื่องจริง เป็นธรรมะ เป็นความสัตย์ หากยังมีคนเชื่อ คนคนนั้นก็คงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง ผมจึงอยากจะส่งคำเตือนถึง สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าสิ่งที่พูดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น ในหัวข้อ “คำตอบของสนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ปรากฎในเวปไซต์ Manager on lie และ ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ผ่านบทสัมภาษณ์ “สนธิ ขายความคิด โมเดลชาติ” นั้น ควรจะเก็บไว้คิดและทำแต่เพียงลำพัง ไม่ควรพูดออกมาดังๆ ให้ผมได้หัวเราะด้วยความสมเพช ผมต้องสมเพช สนธิ ลิ้มทองกุล เพราะวันนี้คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ยังคิดที่จะขายความคิด “ล้างสมอง” คนไทย และเชื่อว่ายังมีความสามารถมากพอที่จะจูงจมูกให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เดินตามหลังตนเองได้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากจะไม่สำนึกผิดในการกระทำของตนเองแล้ว ยังไม่มีสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี อยู่ในตัวเองด้วย พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่พยายามจะล้างสมองคนไทย ด้วยความเท็จในครั้งใหม่นี้ อาจจะทำให้คนหลายคนกังวล แต่สำหรับผม ได้แต่สมเพช ที่หมาหางด้วนตัวหนึ่ง พยายามจะกลับเข้าฝูง หลังจากชักชวนให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามกับการตัดหางให้ด้วนเหมือนตัวเองไม่สำเร็จ ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนไทยจำนวนมากมายที่หลงเชื่อและเดินตามตูด สนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว หากคนไทยทุกคนจะย้อนกลับไปหวนระลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ก็จะพบว่าเป็นเพราะคนไทยส่วนหนึ่งไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่น้อมนำพระราชดำรัสพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ดังปากพูด นั่นเอง จึงทำให้ประเทศไทยต้องล่มจม ดำดิ่งสู่ก้นเหวดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไปหลงเชื่อเรื่อง “กู้ชาติ” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง แต่ไม่เชื่อฟังพระราชดำรัสในพระบาสทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงบอกว่า “ไม่ต้องกู้ชาติ” เพราะชาติไม่ได้ล่มจม หากวันนั้น คนไทยน้อมนำพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อม จริงดังปากพูด ประเทศไทย ก็คงไม่ต้องวิบัติฉิบหายไปตามสายทางหายนะของปีศาจที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ขีดให้เดิน จูงให้ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ยังต้องการที่จะเป็นผู้นำ มีอิทธิพลเหนือความคิดของบุคคลอื่น ต้องการครอบงำให้คนอื่นเชื่อสิ่งที่ตนพูด เห็นด้วยกับสิ่งที่ตนทำ สนับสนุนสิ่งที่ตนคิด โดยที่หารู้ไม่ว่าบุคคลอื่น รู้เช่นเห็นชาติ รู้หมดแล้วว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีไส้กี่ขด แต่ละขดมีกี่ข้อ แต่ละข้อมีกี่คด เห็นกันหมดแล้วอย่างนี้ คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ไม่ละอาย และไม่หวั่น เพราะคิดแต่ว่าคนไทยลืมง่าย ก่อนที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จะไปไกลตามใจฝันของตนเอง และ ก่อนที่คนไทยหลายคนจะยินยอมพร้อมใจกันนำปลายเชือกสนตะพายที่สนธิ ลิ้มทองกุล หยิบยื่นมาให้รอบใหม่นี้ ข้างหนึ่งร้อยจมูกตัวเอง และส่งอีกข้างหนึ่งกลับคืนให้สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้จูงจมูกพวกท่าน ประดาบ ขอเวลาท่านสักนิด ได้โปรดอ่านคำพิพากษาของศาล เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550 ซึ่งมีความโดยสังเขป ตามที่คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ คม-ชัด-ลึก ดังนี้ ... ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1065/2549 และ อ.1875/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้ นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวณิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1- 2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 ม.48 คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค.-24 มี.ค.2549 จำเลยกับพวกที่ไม่ได้นำตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันตั้งเวทีปราศรัยที่บริเวณสนามหลวง พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จและจำเลยที่ 2 นำข้อความลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออกเผยแพร่ โดยเมื่อวันที่ 6 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่า “ไม่มีนายกฯ คนไหนในโลกนี้ ที่เอาเงินไปซื้อประชาชนให้รักตัวเองมากขนาดนี้ เมื่อวันที่ 3มี.ค.2549 ใช้เงินไปกว่า 300 ล้านบาท ลากเอาคนนั้นคนนี้มา พวกกเฬวรากทั้งนั้น สื่อก็รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นเมื่อไหร่นายกฯคนนี้จะหยุดสร้างภาพเสียที ประเทศชาติบอบช้ำพอแล้ว” ต่อมาวันที่ 10 มี.ค.จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอีกว่า “ได้รับข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพล ว่ามีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง ด้วยปืนติดกล้อง ผมจะบอกให้พ่อแม่พี่น้องฟังว่า ทำไมต้องเล่าให้ฟังก็เนื่องมาจากว่าให้รู้ว่า กูรู้ว่ามึงอยากยิงกู เขามองว่าถ้าผมตายไปแล้ว ขบวนการกู้ชาติบ้านเมืองจะหยุดยั้ง เข้าใจผิดแล้ว ผมมีพ่อแม่พี่น้อง มีพันธมิตรฯ ที่จะนำพาภารกิจต่อไป ถ้าผมตายแล้วไอ้หน้าเหลี่ยมตายด้วย ผมยินดีตายไอ้หน้าเหลี่ยมแน่จริงมาตายด้วยกันไหมล่ะ” นอกจากนี้ ในวันที่ 13 มี.ค.49 จำเลยที่ 1ได้ปรายศรัยว่า “เมื่อตอนตี 4 ของวันที่ 13 มี.ค. เวทีกู้ชาติที่ภูเก็ต ถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาได้รับความเสียหาย” ในวันที่ 16 มี.ค.นายสนธิ จัดปราศรัยที่แยกมิสกวัน ถนนราชดำเนินนอก กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่มีคนบ้าเป็นนายกรัฐมนตรี อับอายขายหน้าเขาไปทั่วโลก คนบ้าเราต้องไล่ไปโรงพยาบาลบ้า แต่ปัญหามันมีหมอที่โรงพยาบาลบ้า บอกว่าระดับความบ้าของนายกฯ คนนี้โรงพยาบาลบ้าก็เอาไม่อยู่ ก็เลยต้องไล่ให้ไปสิงคโปร์” ต่อมาในวันที่ 22 มี.ค.บริเวณแยกมิสกวัน จำเลยที่ 1 ได้ปราศรัยอันเป็นความเท็จว่า “ชาติบ้านเมืองกำลังวิบัติ เพราะเรามีนายกฯ ที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ ก่อนที่จะมีเหตุทุบพระพรหม มีหมอเขมรไปปัดกวาดพระภูมิที่ทำเนียบแล้วขึ้นไปนั่งค่อมที่หลังคาพระภูมิ เอาคุณไสยไปใส่ หลังจากมีการทุบพระพรหมแล้ว นายกฯไปอยู่ที่เกิดเหตุครึ่งชั่วโมง ไปทำไมนอกจากไปเอาเคล็ด ไปฝังรูปฝังรอย เพราะต้องการจะเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้” ข้อความทั้งหมดที่จำเลยกล่าวมานั้น เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามด้วยการโฆษณา โดยมีเจตนาให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และเป็นการหลอกลวง ใส่ร้ายโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จเหตุ เกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ และ แขวงจิตรดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ การกระทำของจำเลย โจทก์ถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยลงคำพิพากษาใน นสพ.7 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้งสองฝ่ายแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กล่าวปราศรัยว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า ต้องไล่ให้ไปประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า โจทก์หมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ให้หมอเขมรไปทำพิธีที่ทำเนียบรัฐบาล ทำพิธีฝังรูปฝังรอยที่ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณสี่แยกราชประสงค์ เห็นว่าที่จำเลยที่ 1 กล่าวว่าโจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเองนั้น เป็นการกล่าวอ้างด้วยความสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม และที่ปราศรัยว่า โจทก์เป็นคนบ้านั้น ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นความจริง โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยกล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ในประเด็นเรื่องการลอบสังหาร การส่งลูกน้องไปเผาเวทีพันธมิตรกู้ชาติที่จังหวัดภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่เลื่อมใสในไสยศาสตร์ มักใหญ่ใฝ่สูงหวังใช้ไสยศาสตร์ให้ตัวเองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จำเลยไม่ได้นำสืบพิสูจน์ความจริง ข้อต่อสู้เป็นเพียงการกล่าวอ้างอย่างเลือนลอย พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยจำเลยที่ 1 มีความผิดรวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษตามลำดับ จำคุกกระทงละ 1 ปีรวมจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิด 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี และให้ปรับจำเลยที่2 จำนวน 40,000 บาท พฤติการณ์แห่งคดีเห็นว่าจำเลยที่ 1 กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์เป็นลำดับ มีการเปิดประเด็นใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้มุ่งพิสูจน์ความจริงตามหลักนิติธรรม บางครั้งปล่อยให้เป็นที่สงสัยกำกวม เร่งเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ก่อให้เกิดความครอบงำบิดเบือนเนื้อหาข้อมูล ทำให้ขาดดุลความจริง หวังมุ่งสร้างกระแสเพื่อโค่นล้มโจทก์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยไม่ใช้วิธีการที่รัฐธรรมนูญขณะนั้นกำหนด การกระทำดังกล่าวกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่ เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ระหว่างผู้ที่สนับสนุนโจทก์กับฝ่ายตรงข้ามโจทก์ ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกันทุกวิถีทางสถานภาพของสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทางนำสืบจำเลยที่ 1 และพฤติการณ์การกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 1 ตามวัตถุพยานของจำเลยที่ 1 ก็ดี การแต่งการของจำเลยที่ 1 ไม่ว่าสีของเสื้อที่ใช้สีเหลือง อันเป็นสีประจำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษรที่หน้าอกเสื้อคำว่า“เราจะสู้เพื่อในหลวง” ก็ดี ล้วนพยายามสร้างภาพของโจทก์ และผู้สนับสนุนโจทก์ ให้มีภาพยืนอยู่ตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพยายามสร้างภาพของจำเลยกับพวกให้อิงแอบแนบชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต้องเทิดทูล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์กับพวก ไม่จงรักภักดี ทำตัวเสมอพระมหากษัตริย์ หรือไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เป็นการแยกประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีบางส่วน ให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ การที่จำเลยที่ 1 พยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดโจทก์กับพวก ในทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคล หรือคณะบุคคลอื่นๆ อีกต่อไป จึงไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 และให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 ของศาลอาญาที่พิพากษาจำคุก เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานหมิ่นประมาท นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรมช.คมนาคม และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย กล่าวหานายภูมิธรรม ร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนจำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะเป็นบรรณาธิการเท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษกำหนด 2 ปี และให้จำเลยที่ 2 ลงคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชน รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายสนธิ แสดงสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ ซึ่งต่อมา นายสนธิ ยื่นคำร้องขอประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 300,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล.. พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลสั่งจำคุก 3 ปี ฐานกระทำความผิดใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง แอบอ้างพระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ยังมีคุณสมบัติมากพอที่จะท่านจะเดินตามต่อไปอีกหรือไม่ พฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่า เป็นบุคคลที่มุ่งร้ายทำลาย ชาติ ศาสนา และพระมหาษัตริย์ ยังเป็นคนดีมากพอที่ท่านจะเชื่อฟัง และสนับสนุนความคิดของคนคนนี้อีกหรือไม่ พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล เยี่ยงนี้ ที่ศาลชี้ให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่ใช้วิธีการกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นด้วยความเท็จ ให้ได้รับความเสียหาย โดยไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความจริง ยังเป็นคนที่น่าเคารพเชื่อถือ และเป็นผู้นำของประชาชนได้อีกหรือไม่ สำหรับผมแล้ว ก็อย่างที่เขียนหัวเรื่องไว้นั่นล่ะ “คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีสิทธิที่จะมาพูดเรื่อง ความรัก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” เพราะเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

ซีแอล : การประกาศเอกราชทางยา

นายไชยา สะสมทรัพย์ แถลงว่า “ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา มีหนังสือจากกระทรวงพาณิชย์ว่าบริษัทผู้ผลิตมีหนังสือมาถึงว่า จะประกาศึ้นบัญชีให้ไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองโดยระบุว่าไทยไม่เคยเรียกไปคุยหรือจะปรับลดราคา...” ความจริงก็คือ ราคานี้เกิดจากการเจรจาต่อรองถึง 12 ครั้ง โดย นพ. ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการของ สนง.คณะกรรมการอาหารและยา และทีมงาน ถ้าไม่เช่อก็ลองสอบถามกันดูได้ ตารางนี้ (ตารางที่ 1) ยังชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมานั้นบริษัทยาต่างชาติฟันกำไรจากเลือดเนื้อและชีวิตของคนป่วยนับพันเปอร์เซ็นต์ ย่างไร้มนุษยธรรม เป็นเวลาต่อเนื่องกันนานนับ 10 ปี(โปรดอ่านหนังสือ กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ-ภาค1 และหนังสือ อุบายขายโรค-ภาค2) นายไชยา สะสมทรัพย์ บอกว่า “ ได้รับรายงานว่า ผู้ป่วยมะเร็งมีไม่มากนัก แล้วทำไมต้องทำซีแอล” กรุณาตรวจสอบดูกับ นพ. วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าหน่วยมะร็งวิทยา รพ.จุฬาลงกรณ์ จะทราบว่าปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 100,000 ราย สาเหตุสำคัญคือการเข้าไม่ถึงยา เพราะยาแพงเกินเหตุ อย่าแปลกใจถ้าเห็นข่าว ยอดรักสลักใจ นักร้องลูกทุ่งวัย 52 ปี จำต้องประกาศขายบ้านราคา 15 ล้านบาท เพื่อนำเงินมารักษามะเร็งที่ทุกข์ทรมานกาย และหมดตัวด้วยยาราคามหาโหด รมว.สาธารณสุข ควรทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ป่วยที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงยา นายไชยา สะสมทรัพย์ กำลังพิทักษ์ผลประโยชน์ใคร ที่บอกว่า “ เพราะคำว่าสิทธิบัตรยาเป็นเรื่องล่อแหลม หากเรายังดันทุรัง บริษัทที่คิดค้นขึ้นมาก็ต้องหมดเงินหลายหมื่นล้านบาท” โปรดรับรู้ด้วยว่า การประกาศซีแอล ยาทั้ง 7 ตัว เป็นการดำเนินตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร มาตรา 51 ทุกขั้นตอน โดยเคารพต่อปฏิญญาโดฮา หรือข้อตกลงทริปส์ ซึ่งสอดรับกันหมดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม คำพูดที่ว่า “ การทำซีแอลของไทยไม่ถูกต้อง ตามกระบวนการหรือกฏหมายท้งไทยและสากล” จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และควรรู้ด้วยว่า สหรัฐอเมริกา และ แคนาดา เองนั้นก็ประกาศซีแอลก่อนหน้าประเทศไทยด้วยซ้ำไป นายไชยา ควรปรับทรรศนะใหม่ ควรเข้าใจว่าสิทธิของมนุษย์ที่ควรจะมีชีวิตอยู่ ย่อมเหนือกว่าผลประโยชน์ทางการค้า และควรเข้าใจด้วยว่า อำนาจนั้นมิได้มีเพื่อใช้ข่มผู้คน แต่อำนาจมีเพื่อเอื้ออำนวยให้แก่การทำงานที่ยังประโยชน์ต่อผู้คนที่เสียเปรียบในสังคมตารางที่ 1 โดยย่อ สามารถหาอ่านได้ในหนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ 15 ก.พ. 2551ชื่อสามัญของยา รักษาโรคมะเร็ง ราคาก่อนต่อรอง หลังต่อรอง ราคายาอินเดีย 1.Docetaxel ปอด เต้านม 25000 บาท 3750 บาท 1875 บาท ต่อมลูกหมาก2.Letroxole เต้านม(กินทุกวัน) 230 บาท 150 บาท 15 บาท3.Elotinib ปอด 2750 บาท 730 บาท -4.Imatinib ไขกระดูก 857 บาท - ลำไส้ 3427 บาท - ทุกๆคนครับ ดูราคาแล้วก็จะรู้ว่า มันฟันกำไรไปกี่พันเปอร์เซ็นต์ แล้วแม่ค้าที่ขายผักหญ้าตามตลาดสด กำไรผัก 1 ขีด เท่ากับ 1 บาท จะซื้อยาพวกนี้กินได้ไหมครับ เราทุกคนก็รู้ว่าแค่ยาทั่วๆไปราคาต้นทุนเม็ดละ 10 สตางค์ แต่มาขายเราเม็ดละ 10 บาท มันก็โหดเกินพอแล้ว นี่ยาพิเศษ ไม่กินก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่กินก็ตาย แล้วมาขายกันแบบนี้ เราไม่แย่เหรอครับ ที่น่าคับแค้นใจไปมากกว่านั้นก็คือ นักการเมืองไทยที่เราเลือกๆมันขึ้นไปเป็นปากเป็นเสียงให้เรามันยังทำกันได้ลงคอแบบนี้ เพื่อผลประโยชฯของใครก็ดูเอาเอง จากบทความนะครับ เราจะนับถือคนพวกนี้กันต่อไปหรือ ตาสว่างกันสักทีเถอะครับ

ไวรัส บนโปรแกรม MSN

ตอนนี้ได้ไวรัสตัวหนึ่งแพร่ออกมา ผมยังไม่รู้ชื่อมันเลย คือเอาง่านๆ ตอนเพื่อนคุณคนหนึ่ง ออนM มาเจอคุณ เขาจะพิมพ์ข้อความภาษาอังกฤษมาหาคุณพร้อมส่งไฟล์อะไรก็ไม่รู้มาให้เรารับด้วย คุณอย่ารับไฟล์นั้น และให้คุณลองถามเพื่อนคุณดูว่า เพื่อนคุณได้ส่งอะไรมาไหม เขาจะตอบว่าไม่ ไวรัส(ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตัวนี้มันจะ ส่งของไปให้คนอื่นโดยที่เจ้าของMไม่รู้ พอคนอื่นรับ ก็จะติดเชื้อนี้และส่งต่อไปเลื่อยๆ ในระหว่างนี้เองจะเกิดสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับMSN ของเราขึ้นมา(อันนี้เป็นบางคน) ผลก็เกิดจากตัวนี่นั่นเอง ถ้าคุณเคยรับมาแล้ว และติดเชื้อมัน มีทางแก้ คือ ลบผู้ติดต่อที่ส่งของนั่นมา(ถ้ายังจำได้) ลบโปรแกรมMSN นี้แล้วลงใหม่ หรือถ้าไม่หาย ให้ล้างเครื่องเลย แน่นอนสุด ยังไงก็ระวังด้วยนะ

โลกไร้กรอบ ของ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ

เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหมเขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่นตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ 1.อยากดูแลพ่อแม่ 2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา 3.อยากเที่ยว และ 4.ชอบกินอาหารอร่อย เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง บทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ"กรุงเทพธุรกิจ " เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น "ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา" เขาบอก เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆว่ายน้ำไปด้วย คาดว่าคงไปเรียนเรื่อง "คลื่น" ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากันระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ แรงเสียดทานกับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้ แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก "จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย" โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม เหตุผลที่ ดร.วรภัทร ออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก "ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้วอาจารย์จะปรับให้" เขามองว่าเด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ ไม่รู้จักคิดเอง "ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่นป้อนให้" โหย...เจ็บ ผมเชื่อมานานแล้วว่าชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัย ที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย" ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ"ที่คนอื่นสร้างให้ ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่าเพราะมี "คำถาม"จึงมี "คำตอบ" เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง “โสเครติส” เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลก ที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้ จาก "คำถาม" กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของ นักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้ "โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเอง เขาจะเริ่มต้น แสวงหา “ความรู้. แต่ถ้าเด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้ " การตั้งคำถามของโสเครติสจึงมีเป้าหมายโจมตีและทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน เป็นกลยุทธ์เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำ แล้วจึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือ ของเขาเอง "น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง "คำตอบ" จาก "คำถาม" ของ "โสเครติส" "โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ "คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่ "คนฉลาด" คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ส่วน "คนโง่" นั้น คือ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้ พออ่านถึงบรรทัดนี้ ทำไมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย……..

ระวัง อุบัติเหตุในปั๊มน้ำมัน

จาก FWD mail ด้านล่าง ผมเคยเจอเหตุการณ์นี้เหมือนกันครับ เป็นปั๊ม Shell แยก > > มาบข่า เส้น 36 > > ตอนนั้นเติมน้ำมันโดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์ เมื่อน้ำมันล้น > > เครื่องยนต์จะกระตุก > > สังเกตเห็นน้ำมันล้นออก > > จากถัง รีบดับเครื่อง และออกจากรถ แจ้งให้เด็กปั๊ม หยุดปั๊มทันที ทราบจากเด็ก > > ปั๊มว่าหัวจ่ายไม่ตัดเป็น > > ปัญหาอีกแล้ว เพิ่งเคยเกิดเมื่อวานไม่หายซะที > > นี่แสดงว่าเราไม่ได้เจอเหตุการณ์ > > นี้เป็นคนแรก ปัญหา > > ยังไม่ได้แก้ไขแต่ยังอนุญาตให้ใช้งานได้ โดยที่ลูกค้าไม่ทราบ > > สังเกตจากสภาพภาย > > ในปั๊มไม่ได้เลยครับ > > สิ่งที่ต้องป้องกันตัวและระวังตัวเองทุกครั้งที่เติมน้ำมันคือ > > ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งก่อนเติมน้ำมัน > > ไม่นั่งอยู่ในรถขณะเติมน้ำมัน > > สังเกตว่ามีแหล่งประกายไฟ หรือ คนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ ๆ หรือไม่
อันตรายจากการเติมน้ำมันแล้วหัวจ่ายไม่ตัด เหตุเกิดวันที่ 27 > > กค. > > 2550 ที่ปั้ม > > ปตท.อ.แกลง จ.ระยอง เลยแยกบ้านบึงไปทางจันทบุรีปั้มปตท.ปั้มแรกซ้ายมือ > > เป็นรถ > > ของเพื่อนที่ทำ > > งาน บ.Grohe Siam เหตุเกิดเพราะหัวจ่ายไม่ตัด > > น้ำมันเต็มถังแล้วหัวจ่ายยังทำงาน > > ต่อทำให้น้ำมันล้น > > ออกนอกถังแล้วมีคนสูบบุหรี่บริเวณใกล้ๆแล้วเกิดระเบิดขึ้นทำให้เจ้าของรถได้รับ > > บาดเจ็บสาหัส

มองต่างมุม

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้า หน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วย ล่ะครับ" ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"

นัยน์ตาอินทรี

บทความเรื่อง “นัยน์ตาอินทรี” (EAGLE EYES) ท่านเคยสังเกตป้ายริมถนนในชุมชนของท่านที่เขียนว่า “โปรดระวังที่นี่มีโครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย – เราดูแลซึ่งกันและกัน” บ้างหรือไม่ ถ้าท่านเคยท่านคงจะรู้สึกสบายใจอย่างมาก ที่รู้ว่าเพื่อนบ้านของท่านคอยสอดส่องดูแล บุคคล หรือ พฤติการณ์ที่น่าสงสัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน และมันยังทำให้รู้สึกสบายใจอีกด้วยถ้าเรารู้ว่า เพียงแต่เรายกหูโทรศัพท์แจ้งเหตุทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ฐานทัพอากาศสก๊อต (SCOTT AIR FORCE BASE) มีโครงการหนึ่งชื่อว่า “โครงการ EAGLE EYES หรือ นัยน์ตาอินทรี” ซึ่งเป็นโครงการในการต่อต้านการก่อการร้าย โดยการขยายตาและหูของเจ้าหน้าที่ของฐานทัพอากาศและประชาชนโดยรอบ เพื่อที่จะเฝ้าตรวจการปฏิบัติงานของกลุ่มผู้ก่อการร้าย โครงการดังกล่าวเริ่มต้นจากการสอนประชาชนได้รับรู้รับทราบถึงวิธีการต่าง ๆ ที่ผู้ก่อการร้ายใช้ เพื่อที่ประชาชนจะได้สามารถสังเกตพฤติการณ์ของผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นได้ ประกอบกับการจัดโครงข่ายการสื่อสารผ่านเลขหมายโทรศัพท์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งประชาชนจะสามารถโทรศัพท์เข้ามาแจ้งเหตุเมื่อมีการพบพฤติการณ์ที่น่าสงสัย และสอนให้ประชาชนรู้จักที่จะรวบรวมข้อมูลข้อมูลและรายงานเหตุ ฐานทัพอากาศสก๊อต (SCOTT AIR FORCE BASE) ได้นำโครงการดังกล่าวเข้าไปใช้ในชุมชนโดยการนำไปให้คำแนะนำกับวัด โรงเรียน มวลชน และ เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองในพื้นที่ ทำให้ฐานทัพอากาศสก๊อตและประชาชนในพื้นที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่จะช่วยดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต่างได้รับประโยชน์เกื้อกูลกัน“โครงการ EAGLE EYES หรือ นัยน์ตาอินทรี” ประกอบด้วยขั้นตอน 7 ขั้นตอน ซึ่งทุกท่านควรจะรับรู้และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนี้ 1. รู้จักวิธีการในการสืบสวนหาข่าว Recognize Surveillance methods: การจดบันทึก การใช้กล้องส่องทางไกล การบันทึกภาพนิ่งและภาพวีดีโอ การเขียนแผนที่ การเขียนภาพร่าง และวิธีการอื่น ๆ ในการที่จะช่วยในการสังเกตจดจำ 2. ระมัดระวังการล้วงความลับ Beware of Elicitation : คนที่แต่งตัวดี บางคนอาจจะเข้ามาสอบถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับหน่วยงานของท่าน หรือต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าออก จำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ ชื่อผู้บังคับบัญชา หรือ มาตรการเกี่ยวกับรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ซึ่งหากท่านได้ตอบคำถามเหล่านั้นไปแล้ว ไม่แน่ว่าท่านอาจจะถูกล้วงความลับไปแล้วก็เป็นได้ 3. หมั่นสังเกตระบบความปลอดภัยของหน่วยงาน Notice Tests of Security : หรือบ้านของท่านแล้วทดสอบอยู่เสมอ เช่น รั้วที่ท่านมีอยู่นั้นแข็งแรงพอหรือไม่ การผ่านประตูเข้า – ออกสำนักงาน ก็เช่นเดียวกัน ทำได้ยากง่ายเพียงใด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ที่ผู้ก่อการร้ายต้องการทราบก่อนที่จะแทรกซึมเข้ามาในหน่วยงานของท่าน เมื่อใดก็ตามที่ระบบรักษาความปลอดภัยเกิดการชำรุดเสียหาย ไม่แน่ว่าการชำรุดเสียหายนั้นอาจเกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้ายก็เป็นได้ 4. หมั่นสังเกตสิ่งของต่าง ๆ ที่มีอยู่ Observe Acquiring of Supplies : สังเกตดูสิ่งของที่มีมากขึ้นหรือหายไปในพื้นที่ที่ท่านทำงานอยู่ บางครั้งสิ่งของที่หายไปหรือเพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่ก็ไม่แน่ว่าสิ่งของนั้นอาจเป็นสิ่งของซึ่งผู้ก่อการร้ายนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการก่อเหตุในพื้นที่ต่อหน่วยงานของท่านก็เป็นได้ 5. สังเกตบุคคลซึ่งอยู่ผิดที่ผิดเวลา Suspicious Persons Out of Place : บุคคลที่มาอยู่ผิดที่ผิดเวลาในพื้นที่ของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านหรือใครก็ตาม เป็นบุคคลที่น่าสงสัยทั้งสิ้น หรือถ้าท่านพบเหตุบุคคลซึ่งแอบซ่อนอยู่ในที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ของท่าน บุคคลเหล่านั้นแหละคือผู้ก่อการร้ายตัวจริง 6. ฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุอยู่เสมอ Dry runs : การฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุเป็นการทำให้เรามั่นใจได้ว่าแผนต่าง ๆ ที่เราได้วางไว้นั้นสามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ การทดสอบระบบการแจ้งเตือนภัยในห่วงเวลาต่าง ๆ ของวัน เช่น กลางวัน กลางคืน เพื่อทราบว่าหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะสามารถปฏิบัติการได้ตามแผนหรือไม่ จำเป็นต้องมีการฝึกซ้อม 7. กำจัดอุปสรรคและข้อขัดข้องต่าง ๆ Deploying Assets : เมื่อทำการฝึกซ้อมแผนแล้ว บุคคล สถานที่ และสิ่งของต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคและทำให้เกิดความไม่พร้อมในการปฏิบัติจะต้องได้รับการแก้ไข เพื่อความสงบสุขของชุมชนของท่าน และเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

บทความรัก “นางฟ้ากับซาตาน”

คำว่าดอกฟ้ากะหมาวัด เป็นคำเปรียบเทียบ ที่ให้เห็นความต่างระหว่างคน2คน แต่สำหรับผมแล้วมันมากว่านั้น เพราะหมาวัดยังอยู่บนพื้นโลก แต่ผมนั้นเปรียบเหมือนซาตาน ที่อยู่ใต้พื้นโลก ที่ลึกมากจนไม่มีใครมองเห็น ส่วนเธอก็สูงเกินกว่าที่จะเป็นดอกฟ้า เธอเปรียบเสมือนนางฟ้า เพราะฉะนั้นแล้ว นางฟ้าคงไม่อาจเห็นซาตาน ส่วนซาตาน ก็ยังคงแอบมองนางฟ้าอยู่ทุกวัน ทุกครั้งที่ปีนไปหานางฟ้า ยิ่งปีนสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งตกเจ็บเท่านั้น เจ็บทุกวันๆจนท้อ แล้วซาตานตนนั้นก็คิดได้ว่า ของที่อยู่สูงเกินไป ไม่ควรเอื้อมมือไปคว้ามันหรือแม้แต่จะคิด เราจะไปเอาดอกฟ้าทำไม ทั้งๆที่บนโลก ก็ยังมีดอกไม้ให้ชื่นชมอีกตั้งมากมาย นางฟ้าก็ควรคู่เทวดา ซาตานก็คิดจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ให้เป็นคนธรรมดา เพื่อที่จะเด็ดดอกไม้บนโลก สุดท้ายซาตานตนนั้น ก็ได้แต่ขอบคุณนางฟ้าองค์นั้น ที่ไม่มองลงมาหาเค้า เพราะซาตานคิดได้ว่า ดอกฟ้าหรือนางฟ้า บางทีก็ไม่อาจดีเสมอไป เราอาจเจอคนที่ดีกว่าบนโลกใบนี้ บางครั้งเรา ไม่ต้องเอื้อมมือหรือปีนขึ้นไปที่สูงๆ บางครั้งดอกฟ้าอาจร่วงมาหาเราเอง แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้สำหรับซาตานตนนั้น สุดท้ายเค้าก็ไม่คิดที่จะหวังสิ่งที่สูงเกินตัว แม้ว่าดอกฟ้าจะร่วงมาอยู่ตรงหน้าเค้า แต่ยังไงซาตานก็ไม่คู่ควรกะดอกฟ้าอยู่แล้วสุดท้าย ซาตานก็ได้แต่ภาวนาให้ นางฟ้าองค์นั้นได้เจอแต่คนดีๆ ดีพอที่จะคู่กะเค้า ให้เจอคนที่เหมาะสมกัน ถึงแม้ซาตานอาจจะอยู่อย่างเหงาๆ แต่ก็หวังว่าซักวันเค้าจะเจอคนที่ดีเช่นกัน (โดย…บูกี้แมนแต่งให้สายฝน)
ไม่ว่าคนรักของเราจะเป็นใคร ขอให้เรารักเค้า เค้ารักเรา ก็คงจะพอแล้วนะคะ สำหรับความรัก :)

Spiking

เคยบ้างไหมครับที่เล่น PVP หรือ PVE แล้วพบกับปาร์ตี้ของคน (หรือของนั้นสามารถทำความเสียหายได้ไม่ทัน Monk Heal จนบางครั้งไม่สามารถจัดการกับปาร์ตี้นั้นได้เลย การจะแก้ปัญหานี้นั้นก้อไม่ยากครับ หากเรารู้จักเทคนิคการ SpikeSpiking คือการรุมโจมตีเป้าหมายเดียวกัน พร้อมๆกันอย่างเป็นจังหวะ (ย้ำว่าเป็นจังหวะ พร้อมๆกันนะครับ) โดยเราต้องเตรียมสกิลที่จะใช้ทำ Damage มาคนละ 1-2 สกิล แล้วกดใช้ให้พร้อมกันครับ ขั้นตอนการ Spike เบื้องต้นจะเป็นดังนี้ครับ1. เตรียมพร้อมสกิลที่จะใช้ในการ Spike เช่น รอ energy, cooldown, adrenaline แล้วบอกเพื่อนให้เตรียมพร้อมครับ โดยอาจจะนัดกันว่า ให้สัญญาณโดยคำว่า “พร้อม” หรือ “Set”2. ให้สมาชิกในปาร์ตี้คนหนึ่ง เลือกเป้าหมายครับ โดยทำการ Call Target โดยกด Ctrl + Shift + Space ซึ่งจะทำให้มี Icon ปรากฎขึ้นมาหน้าชื่อของผู้ที่เป็นคนเลือกเป้าหมายในหน้าต่างปาร์ตี้ครับ 3. ให้สมาชิกที่จะทำการ Spike ทุกคนคลิกที่ Icon นั้น หรือสามารถ กด “T” แทนได้เช่นกัน เพื่อเป็นการเลือกเป้าหมายเดียวกันกับคนที่เลือกเป้าหมายไว้ครับ4. ให้ผู้เลือกเป้าหมายเป็นคนให้จังหวะทำการ Spike โดยนับถอยหลัง 3-2-1 หรือตามแต่ที่นัดแนะกันไว้ แล้วจึงใช้สกิลที่เตรียมมาพร้อมๆกันครับNote: การสนทนากันระหว่างทำการ Spike เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ เพื่อให้สามารถให้จังหวะทำการโจมตีพร้อมกันได้ ดังนั้นควรใช้โปรแกรม Voice Over IP ที่ทำให้คุยกันได้ครับ โปรแกรมแนะนำคือ TS (TeamSpeak) ครับ หาได้จาก http://www.goteamspeak.com/ และโปรแกรมนี้ยังเป็นที่แพร่หลายในกลุ่มผู้เล่น Guildwars ทั่วโลกครับ จะเห็นได้ว่าบางครั้งเวลาไปเข้า Team Arena หรือ Heroes’ Ascent มักจะมีการถามว่ามีโปรแกรมตัวนี้กันหรือไม่ หากมี เค้าจะให้เข้ามาคุยกับเค้าเวลาเล่นด้วยครับ (ส่วนนี้ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ และ การเข้าสังคมไปด้วยครับ ^_^)โดยส่วนมากแล้วในการเล่นแบบ PVP ผู้เล่นแต่ละคนจะมีพลังชีวิตอยู่ประมาณ 500 เท่านั้นครับ (ส่วนมากจะใส่ Superior Vigor +50 Health, 1 Superior Rune -75 health = 480+50-75 =455) หากหารด้วยจำนวนคนในปาร์ตี้ 4 คน ทำความเสียหายกันคนละ 100 นิดๆก้อสามารถล้มศัตรูได้ไม่ยากครับ แต่ปัจจัยสำคัญสำหรับการ Spike ใน PVP คือความพร้อมเพรียงครับ เพราะหาก Monk ของอีกฝั่งเห็นพลังชีิวิตของฝ่ายตนลด เค้าก้อจะพยายาม Heal แน่นอนครับ หากแต่ว่าถ้าเรา Spike ได้พร้อมเพรียงกันมากๆ Monk อาจจะมองพลังชีิวิตไม่ทันเลยก้อได้ครับ ลองคิดดูสิครับ หากเราสามารถโจมตีฝั่งตรงข้ามได้ตายภายใน 1-2 วินาที ใครจะ Heal ได้ทันล่ะครับ ==” Note: สกิลที่เหมาะในการ Spike คือสกิลที่มีความรุนแรงสูงๆครับ แม้จะไม่สามารถใช้ได้บ่อยๆก้อไม่เป็นไร เพราะเราใช้เพียงครั้งเดียว เป้าหมายก้อเสร็จแล้วครับ ^_^หลักการ Spike หลักๆก็มีเพียงเท่านี้ครับ แต่หลักการนี้ก้อสามารถนำไปดัดแปลงได้หลากหลายครับ ตัวอย่างเช่น อาจจะใช้คนเพียง 3 คนในการ Spike ก้อได้ครับ ตัวอย่างเช่น ใช้ Warrior 2 Elementalist 1 ครับ โดยให้ Warrior ใช้สกิลโจมตี 2 อันต่อเนื่องกัน ขณะที่ใช้สกิล Frenzy (เพิ่มความเร็วในการโจมตี) อยู่ และ Elementalist ใช้ Lightning Orb ครั้งเดียวครับ ซึ่ง warrior นั้นจะมีสกิลที่ทำให้ติดสถานะ Deep Wound ทำให้ Hp Max ลดลง 20% อยู่ด้วยครับ แต่การ Spike แบบนี้จะเป็นแบบ 2 จังหวะ ทำให้บางครั้ง Monk อาจจะเข้ามาช่วยเป้าหมายได้ทันถ้าเราไม่พร้อมเพรียงกันพอครับเทคนิคการ Spike นั้นใช้เล่นกันอย่างแพร่หลายมากใน Guildwars และใน Guild Battle ระดับสูงๆจะยิ่งเห็นความพร้อมในการ Spike ชัดเจนครับ ทำให้เทคนิคนี้ เป็นเทคนิคที่จำเป็นในการเล่น GvG หรือ PVP อย่างยิ่งจนเรียกว่าขาดไม่ได้ทีเดียวครับ ดังนั้นหากใครที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเล่น PvP ให้เก่งๆก้อต้องพยายามซ้อม Spike กับทีมไว้มากๆครับ เพราะสามารถนำมาใช้ในการเล่น PVP หรือ PVE ก้อได้ไม่เสียหายครับ สำหรับบทความอื่น ทางทีมงานจะทยอยนำมาลงให้เพื่อนๆที่เป็นผู้เล่นมือใหม่ได้ศึกษากันต่อไปนะครับ

ปืนโบราณ

สันนิษฐานว่า เริ่มมีใช้ในกองทัพบกไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยพระราเมศวร (พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1938) คราวยกทัพไปล้อมนครเชียงใหม่ ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า “ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยิงปืนใหญ่ออกมา กำแพงพังกว้าง 5 วา” คำอธิบายของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า “สมเด็จพระราเมศวรตีเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ปรากฏว่า ใช้ปืนใหญ่ยิงกำแพงเมืองเชียงใหม่ ข้าพเจ้าสอบหนังสือเอนไซโคลบิเดีย บริตนิคะ ได้ความว่า “ปืนใหญ่พึ่งมีใช้ในยุโรป เมื่อ ค.ศ.1375 ตรงกับปีเถาะ จ.ศ.737 (พ.ศ.1918) ก่อนตีเมืองเชียงใหม่คราวนี้ 9 ปี” เรื่องนี้พอที่จะอวดเกียรติภูมิของไทยว่า เรามีฝีมือสร้างปืนใหญ่ได้รุ่นราวคราวเดียวกับฝรั่งแสดงให้เห็นประจักร ซึ่งวัฒนธรรมทางอาวุธของไทยเราอย่างยอดเยี่ยม
ปืนใหญ่ของกองทัพบกไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกตามชนิดและขนาดของมัน เช่น ปืนบะเหรี่ยม ปืนจ่ารงค์ ปืนมนทก ปืนนกกลับ ปืนจินดา ปืนหามแล่น และปืนตระแบงแก้ว ปืนเหล่านี้เป็นปืนใหญ่วิถีกระสุนตรงคล้ายปืนใหญ่ทหารราบสมัยใหม่ กระสุนทำด้วยโลหะบ้างและไม้บ้าง เป็นลูกกลมขนาดต่าง ๆ เวลายิงยัดดินดำเข้าไปทางปากกระบอกก่อน แล้วยัดหมอนและบรรจุกระสุนตามเข้าไป ใช้ไม้กระทุ้งให้แน่นสนิท เมื่อเล็งวิถีกระสุนแล้วก็จุดชนวน ยิงไปยังจุดหมาย แม้ว่าอำนาจปืนในสมัยนี้ไม่สู้จะร้ายแรงนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสำแดงพิษสงน่าสะพึงกลัว การรบชั้นประจันบาน ปืนใหญ่คงใช้ยิงไม่ได้เพราะไม่อาจบรรจุกระสุนดินดำได้ทันท่วงที การยิงแต่ละนัดต้องเลือกยิงให้เหมาะและเล็งว่าจะต้องถูกจุดหมายจริง ๆ ปืนใหญ่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีรูปร่างและลักษณะดังนี้ คือปืนบะเหรียม หรือบะเรียม เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ท้ายปืนมีรูปมน ปากกระบอก เรียวและแคบปืนจ่ารงค์ เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ใช้ลากปืนมนทก เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ใช้ลากปืนนกลับ เป็นปืนใหญ่ทหารราบ มีขาหยั่ง 2 ขา คล้ายขานกกระยาง บางแห่งจึงเรียกว่า ปืนขานกกระยางปืนจินดา เป็นปืนทหารราบ ปัจจุบันนี้ใช้เป็นปืนยิงในพิธีตรุษ

สำนักดาบอาทมาฏนเรศวร

กล่าวได้ว่า สำนักดาบอาทมาฏนเรศวรกำเนิดขึ้นได้ เพราะการโคจรมาพบกันของคนสองคน คืออาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ และครูมาโนทย์ บุญญมัด เรื่องราวของสำนักดาบแห่งนี้คงไม่สมบูรณ์ หากขาดบันทึกประวัติของบุคคลทั้งสอง แม้อาจารย์ชาติชายได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งสำนัก และเป็นเจ้าของสถานที่ แต่ต้นตำรับวิชาดาบอาทมาฏคือครูมาโนทย์ ผู้เกิดและเติบโตในจังหวัดพิษณุโลก --เมืองเดียวกับที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชสมภพ และภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับ มาจากการเป็นตัวประกัน ของพระเจ้าบุเรงนองที่ประเทศพม่า ก็เสด็จมาครองเมืองนี้ในฐานะพระมหาอุปราช "ผมเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก"ครูมาโนทย์เริ่มต้นเล่าสู่วงสนทนา เขาเป็นคนผิวคล้ำ ปีนี้อายุได้ ๔๔ ปี ตัวไม่ใหญ่แต่คล่องแคล่วแข็งแรง"สมัยเด็กๆ ผมป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ลุงที่มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ ได้แนะนำให้เอาผมไปถวายเป็นลูกบุญธรรม ของท่านเจ้าคุณวรญาณมุนี ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่เรียกว่าวัดใหญ่ คือเอาไปให้พระเลี้ยง ผมได้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัด ตั้งแต่นั้นมาก็หายป่วย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกเลย" ครูมาโนทย์เล่าถึงที่มาของการเริ่มฝึกวิชาดาบว่า"ผมชอบดาบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ในงานวัดจะมีขายพวกดาบพลาสติก ผมก็ชอบซื้อแต่ดาบอยู่อย่างงั้น หัดฟันเล่นๆ ไปๆ มาๆ ก็มีคนมาสอนดาบให้ ผมมีโอกาศได้เรียนกับครูดาบหลายท่าน ตั้งแต่ก่อนเรียนดาบสายกรมพละในโรงเรียนอีก" "แล้วครูผมแต่ละท่านจะมาแปลกๆ บางท่านตกรถไฟมา ไม่มีข้าวกิน มาขอกินข้าว ผมก็เอาข้าวให้กิน เช่นครูธำรงค์ ไม่ยอมบอกนามสกุล บอกแต่ว่ามาจากสำนักดาบพุธไธสวรรค์ มากินนอนและฝึกดาบอยู่กับผมถึง ๓ ปีก็ยังไม่รู้นามสกุลของท่านเลย จนกระทั่งท่านจากไป อีกท่านหนึ่งบอกแต่ชื่อสำนัก แต่ไม่ยอมบอกชื่อตัวท่าน ผมจึงเรียกท่านว่าครูมาตลอด ท่านบอกแต่เพียงเป็นหนึ่งในสี่ศิษย์เอกของท่านปรมาจารย์อารีย์ ผู้ก่อตั้งสำนักดาบศรีอยุธย์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีอีกสองท่านที่ไม่ยอมบอกสำนัก แต่ละท่านได้สั่งสอนผมท่านละหนึ่งปีบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง"

ครูมาโนทย์กล่าวว่า แม้ตัวเขาเรียนวิชาดาบมาหลายสำนักแล้ว แต่เมื่อได้เห็นวิชาดาบของครูต่างถิ่นท่านหนึ่ง ก็ถึงกับตื่นเต้นและฉงนสนเท่ห์ นี่คือจุดเริ่มต้นที่เขาได้รู้จักวิชาดาบอาทมาฏ "ตอนนั้นผมอายุสิบกว่าปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมที่โรงเรียนพุทธชินราช และเป็นครูฝึกดาบสายพุทไธสวรรค์ให้กับนักเรียนรุ่นน้อง ก็ได้ข่าวว่ามีครูดาบฝีมือดีจากทางเหนือมาสอนอยู่ที่โรงเรียนเซนต์นิโคลัส เมื่อได้ไปดูท่านฝึกซ้อมแล้วรู้สึกเป็นเรื่องที่แปลกมาก ครูท่านนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่า ท่านใช้วิชาดาบสองมือ ที่สำคัญคือท่านเป็นคนขาเป๋ แต่พอฟันดาบท่านมีความรวดเร็วมาก คู่ฝึกซ้อมที่เป็นคนขาดีจะรับก็รับไม่ทัน หนีก็หนีไม่พ้น จะฟันก็ตามท่านไม่ทัน แล้วท่าดาบของท่านก็แปลกๆ มีการยกแข้งยกขา เหินตัว มีการกระโดด การฉาก ผิดกับวิชาสำนักอื่นที่ผมเรียนมา ซึ่งส่วนมากจะวิ่งตรง ถอยตรง" "ผมจึงไปฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ทราบว่าท่านชื่อครูสุริยา และวิชาดาบสองมือที่ท่านใช้เรียกว่าวิชาดาบอาทมาฏ ผมเรียนดาบกับท่านอยู่สามปี ฝึกซ้อมทั้งกลางวันกลางคืน ระหว่างนั้นครูสุริยาได้เล่าประวัติของวิชาดาบอาทมาฏให้ฟังว่า เดิมวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของตำราพิชัยสงครามซึ่งถูกฉีกออกก่อนสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก นำไปเก็บรักษาไว้ทางภาคเหนือ แล้วส่งมอบให้กับสมเด็จพระนเรศวรฯ เมื่อพระองค์เสด็จกลับจากเป็นตัวประกันที่พม่า มาครองเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวรฯได้ใช้วิชานี้ฝึกสอนผู้คนที่ซ่องสุมไว้ เข้าป่าเข้ารกฝึกกัน โดยพระองค์และพระเอกาทศรศทรงเป็นครูฝึกเอง เพื่อเตรียมพร้อมทำสงครามกับพม่า" ครูมาโนทย์เล่าต่อว่า"คนที่จะเป็นทหารของสมเด็จพระนเรศวรฯได้ต้องเป็นคนที่มีฝีมือ ครูสุริยายังเล่าว่า กองทหารที่ใช้วิชาดาบอาทมาฏ ก็คือกองอาทมาฏ ทหารของกองนี้ยังเป็นคนรักษาเท้าช้างในยามสงคราม ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญมาก เพราะถ้าช้างทรงเจ็บ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อยู่ข้างบนจะตกที่นั่งลำบาก ดูตอนที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า มีแต่คนคุมเท้าช้างเท่านั้นที่ตามทัน ที่ครูเล่ามีเท่านี้"

เรื่องเล่าของครูสุริยาจากความทรงจำของครูมาโนทย์นี่เอง เป็นที่มาของความเชื่อและคำกล่าวที่ว่า ดาบอาทมาฏเป็นวิชาของสมเด็จพระนเรศวรฯ ครูมาโนทย์เล่าว่า เขาเรียนดาบอาทมาฏอยู่ ๓ ปีจึงสำเร็จวิชา ประจวบกับจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายในปี ๒๕๒๑ จึงลาครูสุริยาเข้ามาศึกษาต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง ก็ไม่พบครูสุริยาแล้ว "ครูสุริยาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ได้พบท่านอีกเลย" ขณะเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ครูมาโนทย์ได้เข้าชมรมกีฬาต่อสู้ป้องกันตัว สำนักดาบเจ้ารามฯ หนึ่งปีต่อมาก็ได้เป็นครูฝึกของสำนัก "ผมเป็นครูฝึกสำนักดาบเจ้ารามฯ ถึงปี ๒๕๓๘ แต่ไม่เคยนำวิชาดาบอาทมาฏออกมาเผยแพร่เลย เพราะสำนักดาบเจ้ารามฯ มีวิชาดาบของตนเองอยู่แล้ว การนำวิชาอื่นมาสอนเป็นการไม่บังควร และที่สำคัญ วิชาดาบอาทมาฏเป็นวิชาที่อันตรายมาก ถ้าคนสำมะเลเทเมา หรือคนเกกมะเหรกเกเรเอาวิชานี้ไปใช้ คนอื่นจะเดือดร้อน คนฝึกต้องมีคุณธรรมสูง ผมจึงเก็บวิชานี้ไว้กว่า ๒๐ ปี โดยไม่ได้เผยแพร่ กระทั่งปลายปี ๒๕๓๘ อาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอศึกษาวิชานี้ อาจารย์ชาติชายเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ปรมาจารย์มวยไชยา ส่วนผมเคยศึกษามวยไชยาจากครูทองหล่อ ยาและ ซึ่งเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เขตร จึงถือว่า อาจารย์ชาติชายเป็นรุ่นพี่ทางสายมวย อีกทั้งผมลองสืบประวัติดู พบว่าเป็นคนดี ผมใช้เวลาตรึกตรองอยู่เป็นเดือน จึงตกลงใจถ่ายทอดวิชาดาบอาทมาฏให้อาจารย์ชาติชาย" คนที่ไม่รู้จักอาจคิดว่าอาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ เป็นนายตำรวจหรือทหาร มากกว่าสถานภาพที่แท้จริง คือเป็นนักธุรกิจด้านโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ เพราะชายวัย ๔๕ ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฏหมายการคลังและภาษีจากประเทศฝรั่งเศสผู้นี้ เป็นคนร่างใหญ่แข็งแรง ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย บุคลลิคลักษณะเช่นนี้ หล่อหลอมมาจากเป็นผู้เคยผ่านการศึกษาศิลปะการต่อสู้นานาชนิด ได้ฝึกซ้อมออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ

อาจารย์ชาติชายเริ่มเรียนยูโดตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ขณะเป็นนักเรียนโรงเรียนอัญสัมชัญ บางรัก ต่อมาได้เรียนวิชามวยไทยสายปรมาจารย์กิมเส็ง ทวีสิทธิ์ แล้วไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนมวยไชยากับปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ศึกษาวิชาดาบและกระบี่กระบองจากอาจารย์สมัย เมศะมาน แห่งสำนักดาบพุทธไธสวรรค์, อาจารย์จำนงค์ บำเพ็ญทรัพย์(ปู่เส็ง) แห่งสำนักดาบบ้านช่างหล่อ เรียนดาบศรีอยุธฯ จากอาจารย์วัลลภิศ สดประเสริฐ เรียนดาบศรีไตรรัตน์ที่เปิดสอนภายในโรงเรียน ทั้งยังศึกษาวิชาการต่อสู้ต่างประเทศอีกหลายแขนง เช่นเรียนเทควันโด้จนได้สายดำ จากอาจารย์คิม เมียง ซู ชาวเกาหลี เรียนมวยจีนของสำนักมวยจีนเสียวลิ้มยี่ และเรียนวิชามวยจีนตระกูลหยางกับอาจารย์คันศร งามพึงพิศ "ปี ๒๕๒๖ ผมกลับจากฝรั่งเศสมาเยี่ยมบ้าน ได้มีโอกาศเรียนมวยไชยาเพิ่มเติมกับครูทองหล่อ ยาและ หรือครูทอง เชื้อไชยา ศิษย์เอกคนหนึ่งของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ครูทองมีลูกศิษย์คนหนึ่ง คือครูแปลง( ) ซึ่งสนิทกับผม ช่วงปี ๒๕๓๘ มีอยู่วันหนึ่งครูแปลงก็รำดาบท่าคลุมไตรภพให้ดู ตอนนั้นผมก็ เอ๊ะ! ดาบอะไร ไม่เคยเห็น ครูแปลงเล่าให้ฟังว่า เขาเรียนวิชาดาบนี้มาจากครูคนหนึ่ง ซึ่งเก่งมาก ก็คือครูมาโนทย์ ผมก็เลยให้ครูแปลงไปตาม"อาจารย์ชาติชายเล่า "พบกันครั้งแรกเป็นการพูดคุยแนะนำตัว อีกวันหนึ่งครูแปลงไม่มาด้วย พอครูมาโนทย์มาถึงบ้านผม ผมถือดาบหวาย พี่โนทย์ถือดาบหวาย ผมก็ตีแกเลย หวดเลย พอหวดปุ๊บเขาก็หวดแขนผม เจ็บ หวดอีกทีเขาก็หวดโดนผมอีก ผมบอกหวดหลายทีแล้วนะ ชักโมโห ก็ไล่ตี เขาก็ยิ้มหัวเราะแบบสบายๆ พอผมหวดไปแรงๆ เขาก็ใช้ลูกไม้สะท้อนบ้าง คลื่นกระทบฝั่งบ้าง เล่นผมซะน่วมเลย วันนั้นเขาทำให้ผมเจ็บตัว แต่ยังไม่ยอมสอนวิชา แล้วเขาก็หายไปตั้งนาน จริงๆ เขาไปสืบประวัติว่าผมเป็นคนยังไง ผมต้องไปตามหาเขา ขอให้สอนวิชาให้" "ผมเรียนวิชาดาบมาหลายสำนัก พอมาเห็นวิชาดาบอาทมาฏ ผมรู้เลยว่าเป็นวิชาดาบที่ดี เพราะมีทั้งแม่ไม้และลูกไม้ที่แตกออกได้เป็นร้อยๆ พันๆ ท่า แต่ละท่าก็มีชื่อแบบโบราณ แล้วผมเคยเรียนมาว่า โดยทั่วๆ ไปของที่ดีจะมีคำสรุป หรือแก่นของมัน อย่างมวยผมก็เข้าใจถึงแก่น เช่น ป้องปัดปิดเปิด ทุ่มทับจับหัก อย่างดาบอาทมาฏก็มีแก่นวิชาของมัน เช่น ท่าฟันคือท่ารับ ท่ารับคือท่าฟัน แล้วการการ์ดดาบ การรับใน วางขา การลดดาบปัดป้องวนเป็นวง พร้อมรุกรับในเวลาเดียวกัน มันคือเหลี่ยมเดียวกับมวยไชยาที่ผมเรียนมา" อาจารย์ชาติชายฝึกวิชาดาบอาทมาฏกับครูมาโนทย์ทั้งกลางวันกลางคืนเป็นแรมปี ยิ่งเรียนก็ยิ่งประจักษ์ถึงอานุภาพของวิชานี้ จึงตัดสินใจก่อตั้งสำนักดาบขึ้น เพื่อหวังเผยแพร่และอนุรักษ์วิชาดาบอาทมาฏไม่ให้สูญหาย จนถึงปัจจุบันอาจารย์ชาติชายและครูมาโนทย์เปิดสำนักสอนดาบได้ปีกว่าแล้ว และหากมองย้อนกลับไป กล่าวได้ว่า เพราะ"ท่าคลุมไตรภพ" ซึ่งเป็นหนึ่งในสามท่าแม่ไม้หลักของวิชาดาบอาทมาฏ ที่ดึงดูดใจอาจารย์ชาติชายตั้งแต่แรกเห็น คือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสำนักดาบอาทมาฏนเรศวร

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ความประทับใจที่ได้มาเรียนในม.บูรพา

เมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้ามาอยู่ไนรั้วเทาทองไหม่ๆนี้ ได้เจอกับเหดการที่ไม่คาดฝันหลายอย่างครับเช่น
.......รถมอไซค์ที่ผมขี่ไปซื้อข้าวตอนตี1มันกลับดับไปเฉยๆไนมอ ตอนนั้นกลัวมากครับไม่ค่อยรู้จักไครด้วยแล้วสักพักก็มีคนขี่มอไซค์ขับผ่ายมาเค้าได้เข้ามาช่วยดูรถไห้ว่ามันเปนอาราย เค้าบอกว่าเค้าก็เคยเปนตอนอยู่ปี1แล้วก็มีคนเข้ามาช่วยเหมือนกัน....ผมเลยประทับใจมากๆครับทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาเลยทํษไมถึงได้ช่วยเรามากขนาดนั้นเค้าช่วยพาเราไปซื้อนํามันมาเติมรถครับใจดีมากจิงๆ........ผมเลยคิดว่าถ้าผมเจอใครที่ต้องการความช่วยเหลือผมจะต้องรีบช่วยเขาคนนั้นไห้ดีที่สุดไห้ได้ครับ............ประทับใจนําใจเด็กม.บูรพาจิงๆคับ....ขอบคุณคับ